|
|
|
|
|
|
|
|
|
"รถสามล้อ"
เมืองตรังอนุรักษ์ไว้ก่อนจะตายจากไป |
|
|
|
|
|
|
เมื่อเอ่ยถึง
"รถตุ๊กตุ๊ก" ในความรู้สึกของคนทั่ว
ๆ ไปแล้ว ก็มักจะนึกถึง "รถตุ๊กตุ๊ก"
ในกรุงเทพฯ แต่สำหรับที่เมือง ตรังจะเรียกกันว่า"รถสามล้อ"
หรือเรียกกันตามรูปร่าง ของมันว่า
"รถหัวกบ" โดยในส่วนหน้าคนขับ กับผู้โดยสาร
จะนั่งคู่กันได้แค่เพียง ๒ คน และรถชนิดนี้ จะใช้พวงมาลัย
เหมือนกับรถยนต์ทั่วไป ทำให้แตกต่างจาก "รถตุ๊กตุ๊ก"
ของกรุงเทพฯ หรือที่อื่นๆ จนขณะนี้เหลือเพียงแห่งเดียว
ในประเทศไทย "รถสามล้อ" เมืองตรังนั้น ได้รับอิทธิพล
มาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเป็นสินค้าที่ นำเข้ามา
จากบริษัทไดฮัทสุ จำกัด |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
อย่างไรก็ตาม
"รถสามล้อ" ที่เราได้เห็นรูปร่างตามแบบในปัจจุบันนี้
ได้ผ่านการพัฒนากันมาเป็นจำนวน ๓ ช่วงด้วยกัน โดยเฉพาะการปรับเครื่องยนต์
จากเดิมสูบเดียวมาเป็นเครื่องยนต์ ๒ สูบ เพราะวิ่งได้เร็วกว่า
เสียงเบา ไม่มีควัน แต่เปลือง น้ำมัน ทำให้สามารถเพิ่มรอบในการรับผู้โดยสารได้มากขึ้น
หากจะนับจำนวน "รถสามล้อ" เมืองตรังที่ขับกันทั่วเมือง
จากข้อมูลของสำนักงานขนส่งจังหวัดพบว่ามีอยู่ประมาณ
๖๖๔ คัน แต่ปัจจุบันที่ยังเห็นๆ กันอยู่ก็เหลือประมาณ
๕๐๐ คัน ทั้งนี้ ป้ายข้างจะมีลักษณะแปลกคือเป็นตัวอักษร
๑ ตัว และตัวเลข ๓ ตัว อยู่ทางด้านซ้ายของรถ เป็นตัวเลขที่ทำขึ้นนอกเหนือจาก
ป้ายทะ เบียนรถ เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถที่จะจำรถคันนั้นได้ง่ายขึ้น
และเพื่อเป็นการป้องกัน ความปลอดภัย หากเกิดเหตุร้าย
ขึ้นมา ปัญหาที่ทำให้ "รถสามล้อ" ค่อยๆ
เหลือน้อยลง นอกจากจะมีปัญหาเรื่องของความนิยมที่
ลดน้อยถอยลง เพราะรถ จักรยานยนต์รับจ้างเข้ามาแทนที่แล้ว
ยังประสบปัญหาในการซ่อมแซมเพราะอะไหล่หายากและมีราคาแพง
นอกจากนั้น ก็ยังจะมีความยุ่งยากในการขึ้นทะเบียนรถเป็นอย่างมาก
เพราะเจ้าของรถถอดใส้ ในท่อพักออกเพื่อ ให้รถวิ่งดีแต่มีปัญหา
เสียงดังมาก ขณะเดียวกันการที่น้ำมันมีราคาแพงก็ทำให้ต้นทุนสูงมากขึ้น
ที่สำคัญก็คือรถรุ่นนี้ ไม่มีการผลิตอีกแล้ว คันใดพังไปก็เท่ากับจบสิ้นไปเลย
|
|
|
|
|
|
|
นายอานนท์
กรณีย์ อายุ ๔๓ ปี เล่าว่า เมื่อ ๑๐ ปีก่อนนั้นมีรายได้จากอาชีพนี้ประมาณวันละ
๒๐๐๓๐๐ บาท แต่ปัจจุบันยอมรับว่าทั้งค่าน้ำมันที่เพิ่มประกอบกับจำนวนผู้โดยสารที่ลดน้อยลง
เนื่องจากขณะนี้มี รถจักรยานยนต์ รับจ้าง มากขึ้น
ถึง ๑,๐๐๐ กว่าคัน ทำให้รายได้ลดลงอย่างมากจนบางวันเหลือเพียงแค่
๗๐๘๐ บาทเท่านั้น และเมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วแทบจะไม่เหลืออะไรเลย
แต่ตนก็ยังคงทำต่อไปเพราะรักในอาชีพนี้ ส่วนนายธาดา
รักษศรี อายุ ๕๑ ปี เล่าว่า ยึดอาชีพขับ "รถสามล้อ"
รับจ้างมากว่า ๓๐ ปีแล้ว และเห็นว่าผู้ประกอบอาชีพนี้เริ่มจะลดน้อยถอยลงทุกวัน
เนื่องจากมีรายได้ ที่ไม่เพียงพอ จุนเจือครอบครัว
แต่ตนก็เป็นผู้หนึ่งที่ยังต้องการอนุรักษ์รถชนิดนี้ให้เหลืออยู่
เข้าใจว่าประชาชนในจังหวัดตรัง เริ่มมีรถส่วนตัว กันมากขึ้น
รวมทั้งรถจักรยานยนต์รับจ้างที่มีจำนวนมาก จึงอยากให้ประชาชนสนใจมาใช้บริการเหมือนเมื่อครั้งในอดีต
ซึ่งก็จะทำให้เมืองตรังมี "รถสามล้อ" เป็นสัญลักษณ์
และยังทำให้มีจุดเด่นในการท่องเที่ยวด้วย นางสาวสุขฤดี
ตะเส็น อายุ ๓๖ ปี ผู้โดยสารรายหนึ่ง กล่าวว่า ใช้บริการ
"รถสามล้อ" มาเป็นระยะเวลา ๑๐ ปีแล้ว มีความปลอดภัยสูง
อีกทั้งเมื่อฝนตก แดดออก ก็ยังปลอดภัยกว่ารถโดยสารชนิดอื่น
ส่วนค่าบริการแม้จะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ราคา ๕ บาท ราคา
๑๐ บาท มาจนถึง ขณะนี้ ราคา ๑๕ บาท แต่เข้าใจว่าค่าน้ำมันราคาแพงขึ้นและราคานี้ก็มิได้ถือว่าสูงจนเกินไป
และยังคงยังยืนยันที่จะใช้บริการ "รถสามล้อ"
อีกต่อไป แม้ "รถสามล้อ" เมืองตรังในยุคปัจจุบันจะมีความนิยมน้อยลง
เนื่องจากผู้คนหันไปนิยมของใหม่อย่าง รถรับจ้างประเภทอื่นๆ
ซึ่งอาจจะสืบเนื่องมาจากความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม
รวมทั้งการต้องการความคล่องตัว ในการทำงาน ท่ามกลางภาวะที่แข่งขันกัน
แต่ชาวตรังหลายคนก็ยังเชื่อว่า"รถสามล้อ"ยังคงไม่สูญหาย
และมีผู้สืบสาน เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของเมืองตรังอีกต่อไป
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|